วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

บทบาทของใครบ้างในการพัฒนาหลักสูตร


นับมาถึงวันนี้ผ่านมาแล้ว 4 ปี ผลการประเมินในบางส่วนที่ได้ศึกษามา พบว่า การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาของไทยยังไม่พัฒนาไปถึงไหน ปัญหาที่พบ คือ คณะกรรมการสถานศึกษาและคณะผู้จัดทำหลักสูตรมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาไม่ชัดเจน เมื่อมีการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาก็ดำเนินการอย่างเร่งรีบในระยะเวลาอันสั้น ทำให้คณะครูในโรงเรียนขาดความเชื่อมั่นในความถูกต้อง เหมาะสม ของหลักสูตรตนเอง และยังพบว่าโรงเรียนจัดเวลาเรียนให้กับสาระเพิ่มเติมต่าง ๆ น้อย ทำให้ไม่สามารถสนองความต้องการ ความสามารถและความสนใจของผู้เรียนได้ ครูบางส่วนของแต่ละสถานศึกษาขาดความสนใจ และไม่ให้ความร่วมมือในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาเท่าที่ควร ทำให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินการและได้หลักสูตรสถานศึกษาที่ไม่มีคุณภาพ สถานศึกษาจำนวนน้อยที่ดำเนินการตามขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาอย่างถูกต้อง และโรงเรียนส่วนใหญ่ขาดการสำรวจความต้องการของชุมชน หรือเชิญคณะกรรมการสถานศึกษามาเข้าร่วมในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา (หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา, 2545; หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 7, 2545: 9-10)

จากประเด็นปัญหาดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงปัญหาอุปสรรคของการสร้างหลักสูตรสถานศึกษา 2 ประเด็นสำคัญ คือการขาดความร่วมมือกันในการปฏิบัติงานสร้างหลักสูตรสถานศึกษาของบุคลากรที่เกี่ยวข้องในการสร้างหลักสูตรสถานศึกษา และการขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการสร้างหลักสูตรสถานศึกษา ซึ่งปัญหาทั้งสองประการส่งผลต่อคุณภาพของหลักสูตรสถานศึกษาที่สร้างขึ้น นอกจากนี้จากการที่ผู้เขียนได้ลงไปร่วมมือกับครูในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา พบว่า ครูมีความเคยชินกับการรับหลักสูตรที่สำเร็จแล้วไปใช้ในการสอนมากกว่าการพัฒนาหลักสูตรด้วยตนเอง ดังนั้นความตั้งใจ หรือแรงจูงใจในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาของตนเองจึงมีน้อย ขาดความร่วมมือที่จะมาทำงานร่วมกัน จะมีครูจำนวนน้อยที่ทุ่มเทให้กับงานพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา เนื่องจากตนเองเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง เช่น เป็นฝ่ายวิชาการของโรงเรียน เป็นหัวหน้าหมวด หัวหน้าสาย หรือเป็นบุคคลที่มีคำสั่งให้ทำหลักสูตรสถานศึกษา

นอกจากนี้จากผลการวิจัยในปี พ.ศ. 2545 ของผู้เขียนเอง ที่ได้ปฏิบัติการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาร่วมกับครูในสถานศึกษา โดยใช้เวลาในการพัฒนาครูและร่วมกันพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาร่วม 8 เดือน โดยมีการดำเนินการ 3 ส่วน คือ ระยะที่ 1 พัฒนาทีมงานให้กับคณะครูทั้งโรงเรียน โดยมีหลักสูตรฝึกอบรมให้ 3 วัน ระยะที่ 2 พัฒนาความรู้ความเข้าใจในกระบวนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา อบรมครู 3 วัน และระยะที่ 3 ปฏิบัติการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาอย่างต่อเนื่องอีก ประมาณ 7 เดือน ผลการวิจัย พบว่า ครูมีค่าเฉลี่ยของคะแนนความสามารถในการทำงานเป็นทีมหลังการทดลองและระยะติดตามผลอยู่ในระดับสูง มีความรู้ความเข้าใจในการสร้างหลักสูตรสถานศึกษาหลังการทดลองอยู่ในระดับปานกลาง และคะแนนความสามารถในการสร้างหลักสูตรสถานศึกษาหลังการทดลองอยู่ในระดับปานกลาง (ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์, 2545: 152) ข้อค้นพบนี้ ได้แง่คิดว่า แม้ว่าจะพัฒนาหลักสูตรร่วมกับครูอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบปี ครูยังมีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาหลักสูตรและสามารถปฏิบัติการพัฒนาหลักสูตรให้มีคุณภาพได้เพียงระดับปานกลาง แล้วกระบวนการอบรมครูที่ใช้วิธีการขยายเครือข่าย แม่ไก่ อบรมลูกไก่ โดยใช้เวลาเพียง 3-5 วัน ผลที่ได้จะเป็นอย่างไร? ครูจะมีความรู้และสามารถปฏิบัติการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาของตนได้ได้มีคุณภาพระดับใด? และผลที่ปรากฏก็คงจะประจักษ์กันแล้วว่าหลักสูตรสถานศึกษาในปัจจุบันโดยรวมมีคุณภาพไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน

ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น เป็นสิ่งที่ต่างประเทศประสบปัญหามาก่อนแล้ว จากการที่ผู้เขียนได้ศึกษากรณีตัวอย่างการพัฒนาหลักสูตรในแต่ละประเทศ พบปัญหาการสร้างหลักสูตรสถานศึกษา เช่น ในประเทศออสเตรเลีย พบว่า ครูจำนวนมากขาดความสนใจและไม่เข้าร่วมในกิจกรรมพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา รวมทั้งครู ผู้ปกครอง และนักเรียนจำนวนมากขาดทักษะในการทำงานกลุ่มและการตัดสินใจร่วมกันในการปฏิบัติงานพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ซึ่งในประเทศแคนาดาก็พบปัญหาการขาดทักษะของครูทางด้านประสบการณ์ และแรงจูงใจในการพัฒนาหลักสูตร เนื่องมาจากถูกควบคุมในการพัฒนาหลักสูตรโดยกลุ่มผู้มีความรู้และมีอำนาจเพียงไม่กี่คน และปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาในอังกฤษและเวลล์ ก็พบเช่นกันว่า บุคลากรในสถานศึกษาขาดทักษะการจัดการ ขาดทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ ขาดทักษะการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงาน ขาดการวางแผนด้านเวลาในการทำงาน ขาดทักษะในการสื่อสาร การให้คำปรึกษา การสนับสนุน การทบทวน การกำกับติดตามและการให้ผลย้อนกลับ รวมทั้งครูแต่ละคนมีข้อจำกัดด้านความสามารถในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา (Marsh et al., 1990: 7-20)

นอกจากนี้จากการศึกษาการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาในประเทศฮ่องกง ของ Chan Chi Chiu (1996) พบว่า มีครูเพียงร้อยละ 50 เท่านั้นที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา และมีครูเพียงร้อยละ 25 เท่านั้น ที่อยู่ร่วมในการพัฒนาหลักสูตรโดยตลอด ซึ่งมีสาเหตุมาจากครูขาดความรู้ในการพัฒนาหลักสูตร เนื่องจากมีครูจำนวนน้อยที่รับการอบรมเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา รวมทั้งการขาดการเตรียมความพร้อมให้ครูในด้านการทำงานร่วมกัน ซึ่ง Skilbeck (1984: 16-19) และ Marsh et al. (1990: 58-66) สรุปปัญหาอุปสรรคของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาในต่างประเทศ ไว้ดังนี้ (ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์, 2545: 28-30)

1. ครูมีความรู้และความสามารถด้านการพัฒนาหลักสูตรไม่เพียงพอในด้านการ

วางแผน ออกแบบ การนำหลักสูตรไปใช้ และการประเมินผลหลักสูตร ครูขาดความมั่นใจ และวิตกกังวลในการดำเนินการพัฒนาหลักสูตร ดังนั้น จึงควรมีโปรแกรมพัฒนาความรู้และความสามารถของครูและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในด้านการพัฒนาหลักสูตรก่อนพัฒนาหลักสูตร

2.ครูขาดแรงจูงใจและมีเจตคติทางลบต่อการพัฒนาหลักสูตร โรงเรียนที่ล้มเหลว

เกี่ยวกับโครงการการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา เนื่องมาจากการที่ครูมีเจตคติทางลบและเกิดการ

ต่อต้านจากครู ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของผู้บริหารที่จะส่งเสริมและสนับสนุนบรรยากาศของโรงเรียนตั้งแต่เริ่มต้น และมีการพัฒนากลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องให้มีเจตคติ และแรงจูงใจที่ดีต่อการพัฒนาหลักสูตร

3. โครงสร้างการบริหารงานของโรงเรียนไม่เอื้อต่อการพัฒนาหลักสูตรโดยโครงสร้าง

ของโรงเรียน และการบริหารจัดการเป็นสายงานบังคับบัญชาแบบดั้งเดิม

4. ขาดการวางแผนด้านเวลา การที่ไม่มีการวางแผนเรื่องเวลาในการทำงาน

พัฒนาหลักสูตร ไม่ลดคาบสอน เพื่อวางแผนการทำงานร่วมกัน การสะท้อนความคิดและการพัฒนาหลักสูตร ซึ่งเวลานี้เกี่ยวพันไปถึงเจตคติ และระดับแรงจูงใจของครู ครูและผู้มีส่วนร่วมบางส่วนจึงอาจมีปฏิกิริยาต่อต้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาได้

5. ขาดผู้เชี่ยวชาญสนับสนุน โดยขาดผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะใน

การให้ข้อเสนอแนะในการพัฒนาหลักสูตร

6. ขาดงบประมาณสนับสนุน ในการเตรียมวัสดุอุปกรณ์ และเงินสนับสนุนช่วยเหลือครู

แต่ละวันในการพัฒนาหลักสูตร

7. บรรยากาศของโรงเรียนที่ไม่ส่งเสริมการทำงาน เนื่องจากขาดผู้นำที่มี

ประสิทธิภาพและเกิดจากมีผู้ต่อต้านในการพัฒนาหลักสูตร